Exercise Verb
http://www.englisch-hilfen.de/en/exercises_list/verbs.htm
Exercise Tense
http://www.englishpage.com/verbpage/verbtenseintro.html
Exercise Active and Passive Voice
http://www.englisch-hilfen.de/en/exercises_list/passiv.htm
Exercise Subject-Verb Agreement
http://owl.english.purdue.edu/exercises/5/13/34
วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
Subject-Verb Agreement
Nouns ( Subject - Verb Agreement )
หลักการใช้กริยาให้สอดคล้องกับประธาน
1. ประธานเป็นเอกพจน์ กริยาเป็นเอกพจน์ ประธานเป็นพหูพจน์ กริยาเป็นพหูพจน์Jane lives in China. เจนอาศัยอยู่ในประเทศจีน2. กรณีมีประธาน 2 ตัว เชื่อมด้วย and โดยปกติถือเป็นพหูพจน์ กริยาจึงอยูในรูปพหูพจน์ Jean and David are moving back to Australia. เจนและเดวิด กำลังจะย้ายกลับไปประเทศออสเตรเลีย3. กรณีมีประธาน 2 ตัว เชื่อมด้วย and แด่นำมาใช้โดยคิดเป็นหน่วยเดียวกัน ใช้กริยาเป็นเอกพจน์ Bread and butter has been my breakfast for years. ขนมปังและเนยเป็นอาหารมื้อเช้าของฉันมาหลายปีแล้ว
4. ประธานที่มีคำนามมากกว่า 1 และเชื่อมด้วย and หากเป็นคนหรือสิ่งเดียวกัน จะมี article ที่ประธานตัวหน้าแห่งเดียว
หากเป็นคนละคนกันจะมี article ที่คำนามทั้งสอง เช่น
5.ประธานที่มีวลีหรือคำขยายต่อไปนี้ต่อท้าย จะใช้กริยาเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์นั้น ต้องยึดการใช้กริยาตามประธานตัวหน้าเป็นหลัก
6, ประโยคหรือวลีที่ขยายประธาน ไม่มีผลต่อการใช้กริยาของประธาน
7.คำต่อไปนี้ถือเป็นเอกพจน์ เมื่อมาเป็นประธานของประโยค ต้องใช้กริยาเอกพจน์เสมอ ได้แก่
8.ประธานซึ่งเชื่อมด้วยคำต่อไปนี้ กริยาถือตามประธานตัวหลัง
9, คำ Indefinite Pronouns ต่อไปนี้ถ้าใช้แทนคำนามนับได้ ถือเป็นพหูพจน์เสมอ
10.การใช้วลีบอกปริมาณ
|
Active and Passive Voice
Active/Passive Voices |
Voice หมายถึงวิธีพูด Active Voice หมายถึงรูปกริยาซึ่งประธานเป็นผู้กระทำหรือแสดงกริยานั้นโดยตรง เช่น The dog bit the boy. สุนัขกัดเด็กชาย ( สุนัขเป็นประธานผู้กระทำโดยตรง และเด็กชายเป็นกรรม)Passive Voice หมายถึงรูปกริยาซึ่งประธานเป็นผู้ถูกกระทำกริยานั้นโดยผู้อื่น
The boy was bitten by the dog. ( เอากรรมคือเด็กชายขึ้นมาเป็นประธาน )หมายเหตุ ผู้กระทำในประโยค Passive ที่เป็น phrase " by the......" อาจจะละไว้ก็ได้ สรุปการใช้ประโยค Passive Voice ของ Tenses ต่างๆ
เมื่อประโยค Active มีกรรม 2 ตัวคืือ กรรมตรง ( Direct Object ) = สิ่งของ กรรมรอง ( Indirect object ) = บุคคล เมื่อจะเปลี่ยนเป็น Passive นิยมเอากรรมรอง คือบุคคลขึ้นเป็นประธาน ถ้าจะเอากรรมตรงเป็นประธานก็ได้ แต่ต้องใส่บุพบท to ข้างหน้ากรรมรองที่เหลืออยู่ด้วย เช่น Active:The teacher gave me a book. Passive: I was given a book by the teacher. ( กรรมรองเป็นประธาน ) Passive : A book was given to me by the teacher. ( กรรมตรงเป็นประธาน ) Active: My father gave ten dollars to my sister. Passive : My sister was given ten dollars by my father. ( กรรมรองเป็นประธาน ) Passive : Ten dollars were given to my sister by my father. ( กรรมตรงเป็นประธาน ) Active: The guide will show you the museum. Passive: You will be shown the museum by the guide. ( กรรมรองเป็นประธาน ) Passive: The museum will be shown to you by the guide. ( กรรมตรงเป็นประธาน ) ตัวอย่างกริยาที่มีกรรมได้ 2 ตัวได้แก่
กริยาที่ไม่สมบูรณ์ด้วยตัวเองซึ่งเราเรียกว่า Linking verbs ( Copular Verbs) เป็นคำกริยาที่ ต้องมีส่วนสมบูรณ์ ( complement ) เข้ามาช่วยจึงจะได้ความหมายสมบูรณ์โดยไม่ต้องมีกรรม คำเหล่านี้ได้แก่
Active voice : He became a successful business man.ตัวอย่างของประโยคที่คำกริยาเป็น linking verb เช่น You look lovely.
IV ใช้ get แทน be ในประโยค Passive ( ในการใช้อย่างไม่เป็นทางการ )
การใช้ประโยคโดยทั่วไปจะใช้เป็น Active Voice และหลีกเลี่ยงการใช้ Passive เท่าที่จะทำได้ แต่หากจะมีการใช้ Passive Voice ก็มักจะใช้ในการเขียนเอกสารที่เป็นทางการ ข่าว และรายงาน ทางวิทยาศาสตร์. เช่น ในข่าวในหนังสือพิมพ์ The woman was killed at. . . .ในรายงานการศึกษาวิจัย ซึ่งผู้อ่านจะสนใจผลมากกว่าสนใจผู้กระทำ It can be seen that....... |
Verb
1. แบ่งตามหน้าที่โดยยึดเป็นกรรม ( Object ) เป็นเกณฑ์มี 2 ชนิด
|
2. แบ่งตามหน้าที่ เป็นคำกริยาหลัก (Main Verbs) และคำกริยาช่วย ( Auxiliary Verbs )
|
3. แบ่งตามหน้าที่เป็นคำกริยาแท้ ( Finite Verbs) และกริยาไม่แท้ ( Non-finite Verbs)
- Finite Verbs ( คำกริยาแท้ ) ทำหน้าที่แสดงกริยาอาการที่แท้จริงของประธานในประโยคมีการเปลี่ยนรูปไปตามSubject , Tense, Voice และ Mood เช่น
Subject I go to school every day He goes to school every day They go to school every day | Tense He goes to school every day He went to school yesterday He's going to school tomorrow | |
Voice Someone killed the snake. ( Active ) The snake was killed . ( Passive ) | Mood I recommend that he see a doctor. (ไม่ใช่่he sees ) If I were you ,I would not do it. ( ไม่ใช่ I was ) |
- Non-finite Verbs ( คำกริยาไม่แท้ )หรือ Verbal เป็นคำที่มีรูปจากคำกริยาแต่ไม่ได้ทำหน้าที่คำกริยาแท้ มี 3 รูปคือ
|
4. แบ่งตามโครงสร้างโดยยึดการเปลี่ยนรูปของคำ ( conjugation ) ได้แก่
- Regular Verbs ( คำกริยาปกติ ) เป็นคำกริยาที่เติม ed เมื่อเป็น past และ past participle เช่น
|
- Irregular Verbs ( คำกริยาอปกติ ) เป็นคำกริยาที่มีรูป past และ past participle ต่างไปจากรูปเดิมหรือคงรูปเดิม เช่น
|
วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
Nouns ( คำนาม )
Types ( ชนิดของคำนาม )
คำนาม ( Nouns ) หมายถึงคำที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งต่างๆ สถานที่ คุณสมบัติ สภาพ อาการ การกระทำ ความคิด ความรู้สึก ทั้งที่มีรูปร่างให้มองเห็น และไม่มีรูปร่าง การแบ่งคำนามสามารถจำแนกได้หลายแบบแล้วแต่ตำรา เท่าที่รวบรวมนำเสนอในที่นี้มี 4 แบบ คือแบบที่ 1 แบ่งคำนามเป็น 2 ประเภทซึ่ง ใน 7 ประเภทนี้ 3 ประเภทสุดท้ายได้แก่ material nouns, concrete nouns และ mass nouns อาจจัดอยู่ในกลุ่ม common nouns ได้ดังนี้ |
2 ประเภท
|
3 ประเภท
|
4 ประเภท
|
7 ประเภท
|
Common Nouns Proper Nouns | Common Nouns Proper Nouns Abstract Nouns | Common Nouns Proper Nouns Abstract Nouns Collective Nouns | 1. Common Nouns 2. Proper Nouns 3. Abstract Nouns 4. Collective Nouns 5. Material Nouns 6. Concrete Nouns 7. Mass Nouns |
1.Common Noun (นามทั่วไป)
เป็นคำนามที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ทั่วๆไป ความคิด ( person, animal, place, thing, idea ) โดยไม่เฉพาะเจาะจง กล่าวโดยสรุปคือ คำนามทั้งหลายที่ไม่ใช่ proper nouns คือ common nouns เช่น
- Common Nouns เป็นได้ทั้ง นามนับได้ (Countable) และนามนับไม่ได้ ( Uncountable )
Countable Nouns ( นามนับได้ ) สามารถอยู่ทั้งในรูปเอกพจน์หรือพหูพจน์
มีตัวตน เช่น dog, man, coin , note, dollar, table, suitcase
ไม่มีตัวตน เช่น day, month, year, action, feeling
Uncountable Nouns (นามนับไม่ได้ ) หรือ Mass Nouns อยู่ในรูปเอกพจน์ เท่านั้น
มีตัวตน เช่น furniture, luggage, rice, sugar , water ,gold
ไม่มีตัวตน เช่น music, love, happiness, knowledge, advice , information
สิ่งของ boy, sign, table, hill, water, sugar, atom, elephant
สถานที่ city, hill, road, stadium, school,company
เหตุการณ์ revolution, journey, meeting
ความรู้สึก fear, hate, love
เวลา year, minute, millennium
Common countable
|
Common uncountable
| |||
indefinite(ไม่เจาะจง)
|
definite(เจาะจง)
|
indefinite(ไม่เจาะจง)
|
definite(เจาะจง)
| |
Singular
|
a cow
|
the cow
|
milk
|
the milk
|
plural
|
cows
|
the cows
|
-
|
-
|
- Common Nouns จะไม่ขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่ ( Capital letter ) ยกเว้นเป็นคำขึ้นต้นของประโยค ตัวอย่างTher are many children on the beach. Children love to swim.
2.Proper Nouns ( นามเฉพาะ ) จะต้องขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่เสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ใดของประโยค
- เป็นคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะของ Common Noun เช่น
ชื่อคน (Person Name) เช่น Somsak , Tom, Daeng
ชื่อสถานที่ ( Place Name) เช่น Australia,Bangkok,Sukhumvit Road, Toyota
ชื่อบอกระยะเวลา (Time name ) เช่น Saturday, January, Christmas
- Proper Nouns จะต้องเขียนขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่ ( Capital letter )
- Proper Nouns ปกติจะไม่มี determiner นำหน้า นอกจากอยู่ในรูปของพหูจน์ เช่น the Jones ( ครอบครัวโจนส์ )
the United States, the Himalayas
แต่อย่างไรก็ดีมีข้อยกเว้นของคำนามที่ไม่ได้อยู่ในรูปพหูพจน์ เช่น The White House, the Sahara ( ทะเลทราย ),
the Pacific ( Ocean ), the Vatican, the Kremlin ( ดูรายละเอียดจากเรื่องการใช้ articles – the )
- เปรียบเทียบระหว่าง common nouns และ proper nouns
Common Nouns | Proper Nouns |
dog | Lassie ( ชื่อของสุนัข ) |
boy | Jack ( ชื่อของเด็กชาย) |
car | Toyota ( ชื่อยี่ห้อรถ ) |
month | January ( ชื่อของเดือน) |
road | Sukhumvit ( ชื่อถนน ) |
university | Chulalongkorn ( ชื่อมหาวิทยาลัย) |
ship | U.S.S. Enterprise ( ชื่อเรือ ) |
country | Thailand (ชื่อประเทศ ) |
คำนามประเภทอื่นมีคำอธิบายดังนี้
3.Abstract Nouns
เป็นคำนามของสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 ( touch- สัมผัสได้, sight-มองเห็นได้, taste-ชิมได้ , hearing- ได้ยิน, smell- ได้กลิ่น ) เป็นนามที่บอกลักษณะ สภาวะ อาการ เมื่อแปลเป็นภาษาไทยมักจะมีคำว่า ความ การนำหน้าอยู่ด้วยรวมทั้งชื่อศิลปวิทยาการต่างๆAbstract Nouns จะมีที่มาจากคำกริยา ( verb) ,คำคุณศัพท์ ( adjective) และ คำนาม ( noun) ด้วยกันเองบ้าง เช่น
Abstract Nouns ที่มาจากคำกริยา | Abstract Nouns ที่มาจากคำคุณศัพท์ | Abstract Nouns ที่มาจากคำนาม |
decision - to decide | beauty - beautiful | infancy - infant |
thought - to think | poverty - poor | childhood - child |
Imagination - to imagine | vacancy - vacant | friendship - friend |
speech - to speak | happiness - happy | |
growth - to grow | wisdom - wise |
4.Collective Nouns
เป็นคำนามของสิ่งที่เป็นหมวดหมู่ กลุ่มของคน สัตว์ สิ่งของ เช่น family , class, company, committee, cabinet, audience, board, group, jury, public, society, team, majority orchestra, party เป็นต้นรวมทั้ง a flock of birds, a herd of cattle ,a fleet of ships เป็นต้น อาจจะใช้คำกริยารูปของเอกพจน์หรือพหูพจน์ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้ ว่าต้องการให้เป็นหนึ่งเดียวหรือเป็นแต่ละส่วน แต่คำนามยังเป็นรูปเดิม เปลี่ยนแต่รูปกริยา เช่นเอกพจน์ : The average British family has 3.6 members.
ครอบครัวชาวอังกฤษ (ครอบครัวหนึ่ง ) มีสมาชิกโดยเฉลี่ย 3.6 คน
พหูพจน์: The family are always fighting among themselves. ครอบครัวนี้มักจะทะเลาะกันเอง
( ประโยคนี้มีความหมายว่าสมาชิกในครอบครัวต่างทะเลาะกันเองทั้งครอบครัว จึงใช้กริยาเป็นพหูพจน์ )
เอกพจน์: The committee has reached its decision. คณะกรรมการได้ผลการตัดสินใจ
( ของคณะกรรมการรวมกันทั้งคณะ)
พหูพจน์: The committee have been arguing all morning over what they should do.
คณะกรรมการเถียงกันตลอดทั้งเช้าว่าควรจะทำ อะไร
( กรรมการแต่ละคนนับเป็น 1 หน่วย ทั้งคณะจึงเป็นพหูพจน์ )
Collective noun บางคำมีความหมายเป็นพหูพจน์เท่านั้น เช่น people, police, cattleนอกจากนี้ยังมีรูปแบบ คำวลีผสมด้วย of เพื่อเน้นให้ความเป็นหมู่หรือคณะให้ชัดเจนขึ้น รูปแบบคือ Collective noun + of + commonnoun ตัวอย่างเช่น
a flock of birds | a group of students |
a flock of sheep | a pack of cards |
a herd of cattle | a bunch of flowers |
a fleet of ships | a kilo of pork |
5.Concrete Nouns
เป็นคำนามของสิ่งที่มีรูปร่างสามารถสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 ( touch- สัมผัสได้, sight-มองเห็นได้, taste-ชิมได้ , hearing- ได้ยิน, smell- ได้กลิ่น ) เช่น book , chair, water, oil , ice cream เป็นทั้งนามนับได้ และนับไม่ได้ มีลักษณะตรงกันข้ามกับ abstract nouns.
6.Material Nouns
- เป็น common nouns ชนิดหนึ่งซึ่งมีรูปร่าง อยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน แต่นับไม่ได้ เช่น
ธาตุ: iron, gold, air, copper
สารธรรมชาติ, สังเคราะห์: stone, cotton, brick, paper, cloth
ของเหลวต่างๆ: water, coffee, wine, tea, milk
อาหาร: rice, bread, sugar, pork, fish, butter, fruit, salad - แสดงความมากน้อยด้วยปริมาณ (quantity) เช่น
a bowl of rice two boxes of cereal five bottles of beer a cup of tea three bars of soap | two glasses of water a loaf of bread a slice of pizza a piece of paper a quart of milk |
แต่ในการใช้ material nouns ส่วนมากจะพูดสั้นๆ เช่น ในประโยคเกี่ยวกับ tea ( ชา )
พูดในร้านอาหาร : I want some tea. ฉันขอชาหน่อยใ( ในที่นี้หมายถึง I want a cup of tea. )
พูดในซูเปอร์มาร์เก็ต: I want some tea. ในที่นี้ผู้พูดหมายถึง I want a packet of tea.
พูดในร้านอาหารซึ่งมีชาหลายชนิด หลายยี่ห้อให้เลือก เช่น ชาจีน ชาเขียว ชาญี่ปุ่น ชาอู่หลง เป็นต้น :
I like their teas. หมายถึง I like their selection of teas. ( ฉันชอบชาหลากหลายชนิดที่มีให้เลือกของร้าน )
7,Mass nouns
เป็นคำนามสิ่งของที่นับไม่ได้ ทั้งมี และไม่มีตัวตน ( uncountable nouns และ abstract nouns ) เช่น sugar, iron , butter, beer, money, blood, furniture, vehicle, courage,gratitude, mercy , accuracy มีลักษณะดังนี้ คือ
- จะไม่อยู่ในรูปพหูพจน์
- ไม่ใช้ a , an , the นำหน้า ถ้าใช้เป็นการทั่วไป determiners ที่ใช้นำหน้าคือ some และ any เช่น
Blood is thicker than water. เลือดข้นกว่าน้ำ ( uncountable )
Depression often affects women immediately following the birth of their babies
ผู้หญิงมักมีอาการซึมเศร้าตามมาหลังคลอดบุตรทันที ( abstract nouns )
He dropped some money on the floor. เขาทำเงินหล่นลงบนพื้น
หมายเหตุ
* บางตำรา mass nouns คือmaterial nouns + concrete nouns และแยก abstract nouns ออกเป็น nouns อีกประเภทหนึ่ง *คำนามบางคำตามความคิดของคนไทยน่าจะเป็นสิ่งของที่นับได้เช่น furniture, luggage ,equipment, money แต่ในภาษาอังกฤษ จะมองเป็นของที่นับไม่ได้ จะนับได้ต่อเมื่อแยกเป็นส่วนย่อย เช่น furniture แยกเป็น table, chair เป็นต้น
* บางตำรา mass nouns คือmaterial nouns + concrete nouns และแยก abstract nouns ออกเป็น nouns อีกประเภทหนึ่ง *คำนามบางคำตามความคิดของคนไทยน่าจะเป็นสิ่งของที่นับได้เช่น furniture, luggage ,equipment, money แต่ในภาษาอังกฤษ จะมองเป็นของที่นับไม่ได้ จะนับได้ต่อเมื่อแยกเป็นส่วนย่อย เช่น furniture แยกเป็น table, chair เป็นต้น
หากสรุปโดยคิดว่าคำนามมี 7 ประเภท การแยกกลุ่มจะเป็นไปตามตารางข้างล่างนี้ โดยตัวอย่างในบางคำนามจะซ้ำกับในคำนามอื่น เช่น water จะเป็นทั้ง concrete nouns และ material nouns และ honesty เป็นทั้ง mass nouns และ abstract nouns
Nouns
|
ประเภทคำนาม
|
ประเภทย่อย
|
ประเภทย่อย
|
ตัวอย่าง
|
Proper nouns
| John, London | |||
Common nouns
|
Countable nouns
| |||
Concrete
| chair,book,student | |||
Collective nouns
| two flocks of birds ,people | |||
Uncountable Nouns
| ||||
Concrete nouns
| ice cream,oil,water | |||
Mass Nouns
| furniture,money,honesty | |||
Material nouns
| water,bread,oxygen,gold | |||
Abstract nouns
| honesty, friendship,honesty |
ตาราง การใช้ articles นำหน้าคำนาม ซึ่งในที่นี้เป็นหลักทั่วไปไม่รวมข้อยกเว้นต่างๆ (ดูรายละเอียดข้อยกเว้นได้ในเรื่อง Articles )
Common Nouns
|
Proper Nouns
| |||||
Countable Nouns
|
Uncountable Nouns
|
Singular
|
Plural
| |||
Singular
|
Plural
|
Singular
|
Plural
|
ไม่มี article
(John) |
the
(the Jones) | |
ชี้เฉพาะ
(definite ) |
the
(the boy ) |
the
(the boys) |
the
(the water ) |
-
| ||
ไม่เฉพาะ
(indefinite ) |
a/an
(a tiger) |
ไม่มี article
( tiger) |
ไม่มี article
(water) |
-
|
-
|
Direct and Indirect Object
กริยาบางตัวมีกรรม ได้ 2 ตัว คือ กรรมตรง (Direct object) และกรรมรอง (Indirect object)
กรรมตรง (direct object) จะตอบคำถาม WHAT ? กรรมตรงมักจะเป็นสิ่งของซึ่งจะเป็นคำนามคำเดียว หรือกลุ่มคำ (phrase or clause) ก็ได้
She often causes is trouble. (a word)
กรรมรอง (Indirect object) จะตอบคำถาม TO WHOM ? หรือ FOR WHOM ? โดยทั่วไปกรรมรองมักจะเป็นคน
รูปแบบ ( Pattern ) ของประโยคที่มี กรรม 2ตัว
Pattern 1
S
|
Verb
|
Person
(Indirect object)
|
Thing
(direct object)
|
I
|
gave
|
my friend
him |
a car.
|
Pattern 2 (จะต้องมี preposition “to” หรือ “for” หน้า Indirect object เสมอ)
S
|
Verb
|
Thing
(direct object)
|
Person
(to indirect object)
|
I
|
gave
|
a car
it |
to my friend.
to him. |
1. ห้ามใช้ Pattern 1 ถ้ากรรมตรงเป็น pronoun เช่น
จะไม่พูดว่า :
-I gave my friend it (X)
-I gave him it (X)
ในกรณีที่กรรมตรง (Thing) เป็น pronoun ให้ใช้ Pattern 2 แทน
ในกรณีที่กรรมตรง (Thing) เป็น pronoun ให้ใช้ Pattern 2 แทน
-I gave it to him.
-I gave it to my friend.
2. โดยทั่วไปนิยมใช้ Pattern 1 คือนำกรรมรองไว้หลังกริยา คือ ไว้หน้ากรรมตรง
-She is teaching him English.
วางกรรมรองไว้หลังกรรมตรง (ตาม Pattern 2 ) ในกรณีต่อไปนี้
1. กรรมรองมีข้อความขยายยาวมาก
-The host offered drinks to all the guests in the room.
2. เพื่อต้องการเน้น (Emphatic)
- Send the book to Andy, or anyone else you like.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)