Exercise Verb
http://www.englisch-hilfen.de/en/exercises_list/verbs.htm
Exercise Tense
http://www.englishpage.com/verbpage/verbtenseintro.html
Exercise Active and Passive Voice
http://www.englisch-hilfen.de/en/exercises_list/passiv.htm
Exercise Subject-Verb Agreement
http://owl.english.purdue.edu/exercises/5/13/34
วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
Subject-Verb Agreement
Nouns ( Subject - Verb Agreement )
หลักการใช้กริยาให้สอดคล้องกับประธาน
1. ประธานเป็นเอกพจน์ กริยาเป็นเอกพจน์ ประธานเป็นพหูพจน์ กริยาเป็นพหูพจน์Jane lives in China. เจนอาศัยอยู่ในประเทศจีน2. กรณีมีประธาน 2 ตัว เชื่อมด้วย and โดยปกติถือเป็นพหูพจน์ กริยาจึงอยูในรูปพหูพจน์ Jean and David are moving back to Australia. เจนและเดวิด กำลังจะย้ายกลับไปประเทศออสเตรเลีย3. กรณีมีประธาน 2 ตัว เชื่อมด้วย and แด่นำมาใช้โดยคิดเป็นหน่วยเดียวกัน ใช้กริยาเป็นเอกพจน์ Bread and butter has been my breakfast for years. ขนมปังและเนยเป็นอาหารมื้อเช้าของฉันมาหลายปีแล้ว
4. ประธานที่มีคำนามมากกว่า 1 และเชื่อมด้วย and หากเป็นคนหรือสิ่งเดียวกัน จะมี article ที่ประธานตัวหน้าแห่งเดียว
หากเป็นคนละคนกันจะมี article ที่คำนามทั้งสอง เช่น
5.ประธานที่มีวลีหรือคำขยายต่อไปนี้ต่อท้าย จะใช้กริยาเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์นั้น ต้องยึดการใช้กริยาตามประธานตัวหน้าเป็นหลัก
6, ประโยคหรือวลีที่ขยายประธาน ไม่มีผลต่อการใช้กริยาของประธาน
7.คำต่อไปนี้ถือเป็นเอกพจน์ เมื่อมาเป็นประธานของประโยค ต้องใช้กริยาเอกพจน์เสมอ ได้แก่
8.ประธานซึ่งเชื่อมด้วยคำต่อไปนี้ กริยาถือตามประธานตัวหลัง
9, คำ Indefinite Pronouns ต่อไปนี้ถ้าใช้แทนคำนามนับได้ ถือเป็นพหูพจน์เสมอ
10.การใช้วลีบอกปริมาณ
|
Active and Passive Voice
Active/Passive Voices |
Voice หมายถึงวิธีพูด Active Voice หมายถึงรูปกริยาซึ่งประธานเป็นผู้กระทำหรือแสดงกริยานั้นโดยตรง เช่น The dog bit the boy. สุนัขกัดเด็กชาย ( สุนัขเป็นประธานผู้กระทำโดยตรง และเด็กชายเป็นกรรม)Passive Voice หมายถึงรูปกริยาซึ่งประธานเป็นผู้ถูกกระทำกริยานั้นโดยผู้อื่น
The boy was bitten by the dog. ( เอากรรมคือเด็กชายขึ้นมาเป็นประธาน )หมายเหตุ ผู้กระทำในประโยค Passive ที่เป็น phrase " by the......" อาจจะละไว้ก็ได้ สรุปการใช้ประโยค Passive Voice ของ Tenses ต่างๆ
เมื่อประโยค Active มีกรรม 2 ตัวคืือ กรรมตรง ( Direct Object ) = สิ่งของ กรรมรอง ( Indirect object ) = บุคคล เมื่อจะเปลี่ยนเป็น Passive นิยมเอากรรมรอง คือบุคคลขึ้นเป็นประธาน ถ้าจะเอากรรมตรงเป็นประธานก็ได้ แต่ต้องใส่บุพบท to ข้างหน้ากรรมรองที่เหลืออยู่ด้วย เช่น Active:The teacher gave me a book. Passive: I was given a book by the teacher. ( กรรมรองเป็นประธาน ) Passive : A book was given to me by the teacher. ( กรรมตรงเป็นประธาน ) Active: My father gave ten dollars to my sister. Passive : My sister was given ten dollars by my father. ( กรรมรองเป็นประธาน ) Passive : Ten dollars were given to my sister by my father. ( กรรมตรงเป็นประธาน ) Active: The guide will show you the museum. Passive: You will be shown the museum by the guide. ( กรรมรองเป็นประธาน ) Passive: The museum will be shown to you by the guide. ( กรรมตรงเป็นประธาน ) ตัวอย่างกริยาที่มีกรรมได้ 2 ตัวได้แก่
กริยาที่ไม่สมบูรณ์ด้วยตัวเองซึ่งเราเรียกว่า Linking verbs ( Copular Verbs) เป็นคำกริยาที่ ต้องมีส่วนสมบูรณ์ ( complement ) เข้ามาช่วยจึงจะได้ความหมายสมบูรณ์โดยไม่ต้องมีกรรม คำเหล่านี้ได้แก่
Active voice : He became a successful business man.ตัวอย่างของประโยคที่คำกริยาเป็น linking verb เช่น You look lovely.
IV ใช้ get แทน be ในประโยค Passive ( ในการใช้อย่างไม่เป็นทางการ )
การใช้ประโยคโดยทั่วไปจะใช้เป็น Active Voice และหลีกเลี่ยงการใช้ Passive เท่าที่จะทำได้ แต่หากจะมีการใช้ Passive Voice ก็มักจะใช้ในการเขียนเอกสารที่เป็นทางการ ข่าว และรายงาน ทางวิทยาศาสตร์. เช่น ในข่าวในหนังสือพิมพ์ The woman was killed at. . . .ในรายงานการศึกษาวิจัย ซึ่งผู้อ่านจะสนใจผลมากกว่าสนใจผู้กระทำ It can be seen that....... |
Verb
1. แบ่งตามหน้าที่โดยยึดเป็นกรรม ( Object ) เป็นเกณฑ์มี 2 ชนิด
|
2. แบ่งตามหน้าที่ เป็นคำกริยาหลัก (Main Verbs) และคำกริยาช่วย ( Auxiliary Verbs )
|
3. แบ่งตามหน้าที่เป็นคำกริยาแท้ ( Finite Verbs) และกริยาไม่แท้ ( Non-finite Verbs)
- Finite Verbs ( คำกริยาแท้ ) ทำหน้าที่แสดงกริยาอาการที่แท้จริงของประธานในประโยคมีการเปลี่ยนรูปไปตามSubject , Tense, Voice และ Mood เช่น
Subject I go to school every day He goes to school every day They go to school every day | Tense He goes to school every day He went to school yesterday He's going to school tomorrow | |
Voice Someone killed the snake. ( Active ) The snake was killed . ( Passive ) | Mood I recommend that he see a doctor. (ไม่ใช่่he sees ) If I were you ,I would not do it. ( ไม่ใช่ I was ) |
- Non-finite Verbs ( คำกริยาไม่แท้ )หรือ Verbal เป็นคำที่มีรูปจากคำกริยาแต่ไม่ได้ทำหน้าที่คำกริยาแท้ มี 3 รูปคือ
|
4. แบ่งตามโครงสร้างโดยยึดการเปลี่ยนรูปของคำ ( conjugation ) ได้แก่
- Regular Verbs ( คำกริยาปกติ ) เป็นคำกริยาที่เติม ed เมื่อเป็น past และ past participle เช่น
|
- Irregular Verbs ( คำกริยาอปกติ ) เป็นคำกริยาที่มีรูป past และ past participle ต่างไปจากรูปเดิมหรือคงรูปเดิม เช่น
|
วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
Nouns ( คำนาม )
Types ( ชนิดของคำนาม )
คำนาม ( Nouns ) หมายถึงคำที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งต่างๆ สถานที่ คุณสมบัติ สภาพ อาการ การกระทำ ความคิด ความรู้สึก ทั้งที่มีรูปร่างให้มองเห็น และไม่มีรูปร่าง การแบ่งคำนามสามารถจำแนกได้หลายแบบแล้วแต่ตำรา เท่าที่รวบรวมนำเสนอในที่นี้มี 4 แบบ คือแบบที่ 1 แบ่งคำนามเป็น 2 ประเภทซึ่ง ใน 7 ประเภทนี้ 3 ประเภทสุดท้ายได้แก่ material nouns, concrete nouns และ mass nouns อาจจัดอยู่ในกลุ่ม common nouns ได้ดังนี้ |
2 ประเภท
|
3 ประเภท
|
4 ประเภท
|
7 ประเภท
|
Common Nouns Proper Nouns | Common Nouns Proper Nouns Abstract Nouns | Common Nouns Proper Nouns Abstract Nouns Collective Nouns | 1. Common Nouns 2. Proper Nouns 3. Abstract Nouns 4. Collective Nouns 5. Material Nouns 6. Concrete Nouns 7. Mass Nouns |
1.Common Noun (นามทั่วไป)
เป็นคำนามที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ทั่วๆไป ความคิด ( person, animal, place, thing, idea ) โดยไม่เฉพาะเจาะจง กล่าวโดยสรุปคือ คำนามทั้งหลายที่ไม่ใช่ proper nouns คือ common nouns เช่น
- Common Nouns เป็นได้ทั้ง นามนับได้ (Countable) และนามนับไม่ได้ ( Uncountable )
Countable Nouns ( นามนับได้ ) สามารถอยู่ทั้งในรูปเอกพจน์หรือพหูพจน์
มีตัวตน เช่น dog, man, coin , note, dollar, table, suitcase
ไม่มีตัวตน เช่น day, month, year, action, feeling
Uncountable Nouns (นามนับไม่ได้ ) หรือ Mass Nouns อยู่ในรูปเอกพจน์ เท่านั้น
มีตัวตน เช่น furniture, luggage, rice, sugar , water ,gold
ไม่มีตัวตน เช่น music, love, happiness, knowledge, advice , information
สิ่งของ boy, sign, table, hill, water, sugar, atom, elephant
สถานที่ city, hill, road, stadium, school,company
เหตุการณ์ revolution, journey, meeting
ความรู้สึก fear, hate, love
เวลา year, minute, millennium
Common countable
|
Common uncountable
| |||
indefinite(ไม่เจาะจง)
|
definite(เจาะจง)
|
indefinite(ไม่เจาะจง)
|
definite(เจาะจง)
| |
Singular
|
a cow
|
the cow
|
milk
|
the milk
|
plural
|
cows
|
the cows
|
-
|
-
|
- Common Nouns จะไม่ขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่ ( Capital letter ) ยกเว้นเป็นคำขึ้นต้นของประโยค ตัวอย่างTher are many children on the beach. Children love to swim.
2.Proper Nouns ( นามเฉพาะ ) จะต้องขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่เสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ใดของประโยค
- เป็นคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะของ Common Noun เช่น
ชื่อคน (Person Name) เช่น Somsak , Tom, Daeng
ชื่อสถานที่ ( Place Name) เช่น Australia,Bangkok,Sukhumvit Road, Toyota
ชื่อบอกระยะเวลา (Time name ) เช่น Saturday, January, Christmas
- Proper Nouns จะต้องเขียนขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่ ( Capital letter )
- Proper Nouns ปกติจะไม่มี determiner นำหน้า นอกจากอยู่ในรูปของพหูจน์ เช่น the Jones ( ครอบครัวโจนส์ )
the United States, the Himalayas
แต่อย่างไรก็ดีมีข้อยกเว้นของคำนามที่ไม่ได้อยู่ในรูปพหูพจน์ เช่น The White House, the Sahara ( ทะเลทราย ),
the Pacific ( Ocean ), the Vatican, the Kremlin ( ดูรายละเอียดจากเรื่องการใช้ articles – the )
- เปรียบเทียบระหว่าง common nouns และ proper nouns
Common Nouns | Proper Nouns |
dog | Lassie ( ชื่อของสุนัข ) |
boy | Jack ( ชื่อของเด็กชาย) |
car | Toyota ( ชื่อยี่ห้อรถ ) |
month | January ( ชื่อของเดือน) |
road | Sukhumvit ( ชื่อถนน ) |
university | Chulalongkorn ( ชื่อมหาวิทยาลัย) |
ship | U.S.S. Enterprise ( ชื่อเรือ ) |
country | Thailand (ชื่อประเทศ ) |
คำนามประเภทอื่นมีคำอธิบายดังนี้
3.Abstract Nouns
เป็นคำนามของสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 ( touch- สัมผัสได้, sight-มองเห็นได้, taste-ชิมได้ , hearing- ได้ยิน, smell- ได้กลิ่น ) เป็นนามที่บอกลักษณะ สภาวะ อาการ เมื่อแปลเป็นภาษาไทยมักจะมีคำว่า ความ การนำหน้าอยู่ด้วยรวมทั้งชื่อศิลปวิทยาการต่างๆAbstract Nouns จะมีที่มาจากคำกริยา ( verb) ,คำคุณศัพท์ ( adjective) และ คำนาม ( noun) ด้วยกันเองบ้าง เช่น
Abstract Nouns ที่มาจากคำกริยา | Abstract Nouns ที่มาจากคำคุณศัพท์ | Abstract Nouns ที่มาจากคำนาม |
decision - to decide | beauty - beautiful | infancy - infant |
thought - to think | poverty - poor | childhood - child |
Imagination - to imagine | vacancy - vacant | friendship - friend |
speech - to speak | happiness - happy | |
growth - to grow | wisdom - wise |
4.Collective Nouns
เป็นคำนามของสิ่งที่เป็นหมวดหมู่ กลุ่มของคน สัตว์ สิ่งของ เช่น family , class, company, committee, cabinet, audience, board, group, jury, public, society, team, majority orchestra, party เป็นต้นรวมทั้ง a flock of birds, a herd of cattle ,a fleet of ships เป็นต้น อาจจะใช้คำกริยารูปของเอกพจน์หรือพหูพจน์ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้ ว่าต้องการให้เป็นหนึ่งเดียวหรือเป็นแต่ละส่วน แต่คำนามยังเป็นรูปเดิม เปลี่ยนแต่รูปกริยา เช่นเอกพจน์ : The average British family has 3.6 members.
ครอบครัวชาวอังกฤษ (ครอบครัวหนึ่ง ) มีสมาชิกโดยเฉลี่ย 3.6 คน
พหูพจน์: The family are always fighting among themselves. ครอบครัวนี้มักจะทะเลาะกันเอง
( ประโยคนี้มีความหมายว่าสมาชิกในครอบครัวต่างทะเลาะกันเองทั้งครอบครัว จึงใช้กริยาเป็นพหูพจน์ )
เอกพจน์: The committee has reached its decision. คณะกรรมการได้ผลการตัดสินใจ
( ของคณะกรรมการรวมกันทั้งคณะ)
พหูพจน์: The committee have been arguing all morning over what they should do.
คณะกรรมการเถียงกันตลอดทั้งเช้าว่าควรจะทำ อะไร
( กรรมการแต่ละคนนับเป็น 1 หน่วย ทั้งคณะจึงเป็นพหูพจน์ )
Collective noun บางคำมีความหมายเป็นพหูพจน์เท่านั้น เช่น people, police, cattleนอกจากนี้ยังมีรูปแบบ คำวลีผสมด้วย of เพื่อเน้นให้ความเป็นหมู่หรือคณะให้ชัดเจนขึ้น รูปแบบคือ Collective noun + of + commonnoun ตัวอย่างเช่น
a flock of birds | a group of students |
a flock of sheep | a pack of cards |
a herd of cattle | a bunch of flowers |
a fleet of ships | a kilo of pork |
5.Concrete Nouns
เป็นคำนามของสิ่งที่มีรูปร่างสามารถสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 ( touch- สัมผัสได้, sight-มองเห็นได้, taste-ชิมได้ , hearing- ได้ยิน, smell- ได้กลิ่น ) เช่น book , chair, water, oil , ice cream เป็นทั้งนามนับได้ และนับไม่ได้ มีลักษณะตรงกันข้ามกับ abstract nouns.
6.Material Nouns
- เป็น common nouns ชนิดหนึ่งซึ่งมีรูปร่าง อยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน แต่นับไม่ได้ เช่น
ธาตุ: iron, gold, air, copper
สารธรรมชาติ, สังเคราะห์: stone, cotton, brick, paper, cloth
ของเหลวต่างๆ: water, coffee, wine, tea, milk
อาหาร: rice, bread, sugar, pork, fish, butter, fruit, salad - แสดงความมากน้อยด้วยปริมาณ (quantity) เช่น
a bowl of rice two boxes of cereal five bottles of beer a cup of tea three bars of soap | two glasses of water a loaf of bread a slice of pizza a piece of paper a quart of milk |
แต่ในการใช้ material nouns ส่วนมากจะพูดสั้นๆ เช่น ในประโยคเกี่ยวกับ tea ( ชา )
พูดในร้านอาหาร : I want some tea. ฉันขอชาหน่อยใ( ในที่นี้หมายถึง I want a cup of tea. )
พูดในซูเปอร์มาร์เก็ต: I want some tea. ในที่นี้ผู้พูดหมายถึง I want a packet of tea.
พูดในร้านอาหารซึ่งมีชาหลายชนิด หลายยี่ห้อให้เลือก เช่น ชาจีน ชาเขียว ชาญี่ปุ่น ชาอู่หลง เป็นต้น :
I like their teas. หมายถึง I like their selection of teas. ( ฉันชอบชาหลากหลายชนิดที่มีให้เลือกของร้าน )
7,Mass nouns
เป็นคำนามสิ่งของที่นับไม่ได้ ทั้งมี และไม่มีตัวตน ( uncountable nouns และ abstract nouns ) เช่น sugar, iron , butter, beer, money, blood, furniture, vehicle, courage,gratitude, mercy , accuracy มีลักษณะดังนี้ คือ
- จะไม่อยู่ในรูปพหูพจน์
- ไม่ใช้ a , an , the นำหน้า ถ้าใช้เป็นการทั่วไป determiners ที่ใช้นำหน้าคือ some และ any เช่น
Blood is thicker than water. เลือดข้นกว่าน้ำ ( uncountable )
Depression often affects women immediately following the birth of their babies
ผู้หญิงมักมีอาการซึมเศร้าตามมาหลังคลอดบุตรทันที ( abstract nouns )
He dropped some money on the floor. เขาทำเงินหล่นลงบนพื้น
หมายเหตุ
* บางตำรา mass nouns คือmaterial nouns + concrete nouns และแยก abstract nouns ออกเป็น nouns อีกประเภทหนึ่ง *คำนามบางคำตามความคิดของคนไทยน่าจะเป็นสิ่งของที่นับได้เช่น furniture, luggage ,equipment, money แต่ในภาษาอังกฤษ จะมองเป็นของที่นับไม่ได้ จะนับได้ต่อเมื่อแยกเป็นส่วนย่อย เช่น furniture แยกเป็น table, chair เป็นต้น
* บางตำรา mass nouns คือmaterial nouns + concrete nouns และแยก abstract nouns ออกเป็น nouns อีกประเภทหนึ่ง *คำนามบางคำตามความคิดของคนไทยน่าจะเป็นสิ่งของที่นับได้เช่น furniture, luggage ,equipment, money แต่ในภาษาอังกฤษ จะมองเป็นของที่นับไม่ได้ จะนับได้ต่อเมื่อแยกเป็นส่วนย่อย เช่น furniture แยกเป็น table, chair เป็นต้น
หากสรุปโดยคิดว่าคำนามมี 7 ประเภท การแยกกลุ่มจะเป็นไปตามตารางข้างล่างนี้ โดยตัวอย่างในบางคำนามจะซ้ำกับในคำนามอื่น เช่น water จะเป็นทั้ง concrete nouns และ material nouns และ honesty เป็นทั้ง mass nouns และ abstract nouns
Nouns
|
ประเภทคำนาม
|
ประเภทย่อย
|
ประเภทย่อย
|
ตัวอย่าง
|
Proper nouns
| John, London | |||
Common nouns
|
Countable nouns
| |||
Concrete
| chair,book,student | |||
Collective nouns
| two flocks of birds ,people | |||
Uncountable Nouns
| ||||
Concrete nouns
| ice cream,oil,water | |||
Mass Nouns
| furniture,money,honesty | |||
Material nouns
| water,bread,oxygen,gold | |||
Abstract nouns
| honesty, friendship,honesty |
ตาราง การใช้ articles นำหน้าคำนาม ซึ่งในที่นี้เป็นหลักทั่วไปไม่รวมข้อยกเว้นต่างๆ (ดูรายละเอียดข้อยกเว้นได้ในเรื่อง Articles )
Common Nouns
|
Proper Nouns
| |||||
Countable Nouns
|
Uncountable Nouns
|
Singular
|
Plural
| |||
Singular
|
Plural
|
Singular
|
Plural
|
ไม่มี article
(John) |
the
(the Jones) | |
ชี้เฉพาะ
(definite ) |
the
(the boy ) |
the
(the boys) |
the
(the water ) |
-
| ||
ไม่เฉพาะ
(indefinite ) |
a/an
(a tiger) |
ไม่มี article
( tiger) |
ไม่มี article
(water) |
-
|
-
|
Direct and Indirect Object
กริยาบางตัวมีกรรม ได้ 2 ตัว คือ กรรมตรง (Direct object) และกรรมรอง (Indirect object)
กรรมตรง (direct object) จะตอบคำถาม WHAT ? กรรมตรงมักจะเป็นสิ่งของซึ่งจะเป็นคำนามคำเดียว หรือกลุ่มคำ (phrase or clause) ก็ได้
She often causes is trouble. (a word)
กรรมรอง (Indirect object) จะตอบคำถาม TO WHOM ? หรือ FOR WHOM ? โดยทั่วไปกรรมรองมักจะเป็นคน
รูปแบบ ( Pattern ) ของประโยคที่มี กรรม 2ตัว
Pattern 1
S
|
Verb
|
Person
(Indirect object)
|
Thing
(direct object)
|
I
|
gave
|
my friend
him |
a car.
|
Pattern 2 (จะต้องมี preposition “to” หรือ “for” หน้า Indirect object เสมอ)
S
|
Verb
|
Thing
(direct object)
|
Person
(to indirect object)
|
I
|
gave
|
a car
it |
to my friend.
to him. |
1. ห้ามใช้ Pattern 1 ถ้ากรรมตรงเป็น pronoun เช่น
จะไม่พูดว่า :
-I gave my friend it (X)
-I gave him it (X)
ในกรณีที่กรรมตรง (Thing) เป็น pronoun ให้ใช้ Pattern 2 แทน
ในกรณีที่กรรมตรง (Thing) เป็น pronoun ให้ใช้ Pattern 2 แทน
-I gave it to him.
-I gave it to my friend.
2. โดยทั่วไปนิยมใช้ Pattern 1 คือนำกรรมรองไว้หลังกริยา คือ ไว้หน้ากรรมตรง
-She is teaching him English.
วางกรรมรองไว้หลังกรรมตรง (ตาม Pattern 2 ) ในกรณีต่อไปนี้
1. กรรมรองมีข้อความขยายยาวมาก
-The host offered drinks to all the guests in the room.
2. เพื่อต้องการเน้น (Emphatic)
- Send the book to Andy, or anyone else you like.
วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556
Subject and Predicate
Every complete sentence contains two parts: a subject and apredicate. The subject is what (or whom) the sentence is about, while the predicate tells something about the subject. In the following sentences, the predicate is enclosed in braces ({}), while the subject is highlighted.
- Judy {runs}.
- Judy and her dog {run on the beach every morning}.
To determine the subject of a sentence, first isolate the verb and then make a question by placing "who?" or "what?" before it -- the answer is the subject.
- The audience littered the theatre floor with torn wrappings and spilled popcorn.
The verb in the above sentence is "littered." Who or what littered? The audience did. "The audience" is the subject of the sentence. The predicate (which always includes the verb) goes on to relate something about the subject: what about the audience? It "littered the theatre floor with torn wrappings and spilled popcorn."
Unusual Sentences
Imperative sentences (sentences that give a command or an order) differ from conventional sentences in that their subject, which is always "you," is understood rather than expressed.
- Stand on your head. ("You" is understood before "stand.")
Be careful with sentences that begin with "there" plus a form of the verb "to be." In such sentences, "there" is not the subject; it merely signals that the true subject will soon follow.
- There were three stray kittens cowering under our porch steps this morning.
If you ask who? or what? before the verb ("were cowering"), the answer is "three stray kittens," the correct subject.
Simple Subject and Simple Predicate
Every subject is built around one noun or pronoun (or more) that, when stripped of all the words that modify it, is known as the simple subject. Consider the following example:
- A piece of pepperoni pizza would satisfy his hunger.
The subject is built around the noun "piece," with the other words of the subject -- "a" and "of pepperoni pizza" -- modifying the noun. "Piece" is the simple subject.
Likewise, a predicate has at its centre a simple predicate, which is always the verb or verbs that link up with the subject. In the example we just considered, the simple predicate is "would satisfy" -- in other words, the verb of the sentence.
A sentence may have a compound subject -- a simple subject consisting of more than one noun or pronoun -- as in these examples:
- Team pennants, rock posters and family photographs covered the boy's bedroom walls.
- Her uncle and she walked slowly through the Inuit art gallery and admired the powerful sculptures exhibited there.
The second sentence above features a compound predicate, a predicate that includes more than one verb pertaining to the same subject (in this case, "walked" and "admired").
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)