วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Exercise Verb

http://www.englisch-hilfen.de/en/exercises_list/verbs.htm

Exercise Tense

http://www.englishpage.com/verbpage/verbtenseintro.html

Exercise Active and Passive Voice

http://www.englisch-hilfen.de/en/exercises_list/passiv.htm

Exercise Subject-Verb Agreement

http://owl.english.purdue.edu/exercises/5/13/34

Subject-Verb Agreement

Nouns  ( Subject - Verb Agreement )

นประโยคภาษาอังกฤษ  ประธานของประโยค ( Subject ) และการใช้คำกริยา  (Verb ) จะต้องสอดคล้องกัน กล่าวคือ ถ้าประธานเป็นเอกพจน์ กริยาต้องเป็นเอกพจน์  ถ้าประธานเป็นพหูพจน์ กริยาต้องเป็นพหูพจน์   ปัญหาสำหรับผู้เรียนคือ ไม่แน่ใจว่าประธานเป็นเอกพจน์หรือพหุพจน์  เช่น
 government , committee  ซึ่งเป็นได้ทั้งเอกพจน์ และพหูพจน์ แล้วแต่การใช้
furniture,money  ดูน่าจะเป็นพหูพจน์ แต่ในภาษาอังกฤษคำเหล่านี้เป็นนามนับไม่ได้  มีความหมายเป็นเอกพจน์
police, people  ใช้อย่างพหูพจน์เท่านั้น
พราะฉะนั้น ผู้เรียนจะต้องทำความเข้าใจเรื่อง nouns รวมทั้งข้อยกเว้นต่างๆให้ถ่องแท้จึงจะสามารถใช้คำกริยาให้สอดคล้อง กับประธานไดอย่างถูกต้อง
 หลักการใช้กริยาให้สอดคล้องกับประธาน
 1. ประธานเป็นเอกพจน์ กริยาเป็นเอกพจน์ ประธานเป็นพหูพจน์ กริยาเป็นพหูพจน์
Jane lives in China. เจนอาศัยอยู่ในประเทศจีน
The  Jones live in France. ครอบครัวโจนส์อาศัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศส
 2. กรณีมีประธาน 2 ตัว เชื่อมด้วย and โดยปกติถือเป็นพหูพจน์ กริยาจึงอยูในรูปพหูพจน์
Jean and David are moving back to Australia. เจนและเดวิด กำลังจะย้ายกลับไปประเทศออสเตรเลีย
3. กรณีมีประธาน 2 ตัว เชื่อมด้วย and   แด่นำมาใช้โดยคิดเป็นหน่วยเดียวกัน   ใช้กริยาเป็นเอกพจน์
Bread and butter has been my breakfast for years. ขนมปังและเนยเป็นอาหารมื้อเช้าของฉันมาหลายปีแล้ว
Honesty and truth is the best policy. ความซื่อสัตย์และความจริงเป็นนโยบายที่ดีที่สุด
Rice and curry is my  daughter's favorite food. ข้าวแกงกะหรี่เป็นอาหารโปรดของลูกสาวฉัน

แต่ถ้าผู้พูดคิดว่าแยกกัน    ก็จะมีความหมายเป็นพหูพจน์ เช่น
Rice and curry are what  we have  for lunch today. เรามีข้าวและแกงกะหรี่เป็นอาหารกลางวันวันนี้
4. ประธานที่มีคำนามมากกว่า 1  และเชื่อมด้วย and    หากเป็นคนหรือสิ่งเดียวกัน จะมี article ที่ประธานตัวหน้าแห่งเดียว  
    หากเป็นคนละคนกันจะมี article ที่คำนามทั้งสอง เช่น
The manager and owner of this restaurant is my friend. ผู้จัดการและเจ้าของร้านอาหารนี้เป็นเพื่อนของฉัน ( คนเดียวกัน )
The manager and the owner of this restaurant are my friends. ผู้จัดการและเจ้าของร้านอาหารนี้เป็นเพื่อนของฉัน ( คนเละคน  )
The black and white cat under the table is my cat. แมวขาวดำใต้โต๊ะนั้นเป็นแมวของฉัน ( ตัวเดียว )
The black and the white cat under the table are my cats.  แมวขาวและแมวดำใต้โต๊ะนั้นเป็นแมวของฉัน ( 2 ตัว )
 5.ประธานที่มีวลีหรือคำขยายต่อไปนี้ต่อท้าย จะใช้กริยาเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์นั้น ต้องยึดการใช้กริยาตามประธานตัวหน้าเป็นหลัก
    accompanied by ( พร้อมด้วย )in company with  ( พร้อมด้วย )
    along with ( พร้อมด้วย )including ( รวมทั้ง )
    as well as ( เช่นเดียวกับ )like ( เช่นเดียวกับ )
    besides (นอกจาก )not ( ไม่ใช่ )
    but ( ยกเว้น )plus ( รวมทั้ง )
    except ( ยกเว้น )together with ( พร้อมด้วย )
    excluding ( ไม่นับ )with ( พร้อมกับ )
    in addition to ( นอกจาก ) 
เช่น 
John together with his colleagues has agreed to work late tonight to get the job finished.  จอห์นพร้อมทั้งเพื่อนร่วมงานของเขาตกลงที่จะอยู่ทำงานดึกเพื่อให้งานเสร็จ ( ใช้กริยาตาม John )
Some people including my brother find cricket boring. คนบางคนรวมทั้งน้องชายฉันคิดว่าคริกเก็ต
( เป็นกีฬาที่คล้ายเบสบอลนิยมเล่นในประเทศอาณานิคมอังกฤษเช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ปากีสถาน ) เป็นกีฬาที่น่าเบื่อ ( ใช้กริยาตาม some people)
6, ประโยคหรือวลีที่ขยายประธาน ไม่มีผลต่อการใช้กริยาของประธาน
John, with all his players, was on the field.
จอห์นพร้อมด้วยบรรดาผู้เล่นของเขาอยู่บนสนาม (  with all his players ขยายประธานคือ John )Mr. Clark,like our other neighbors,is very helpful.
คุณคลาร์คก็ให้ความช่วยเหลือเราดีเหมือนคนอื่นๆ
 7.คำต่อไปนี้ถือเป็นเอกพจน์ เมื่อมาเป็นประธานของประโยค ต้องใช้กริยาเอกพจน์เสมอ ได้แก่
    anybodyeverybodysomeone
    anyoneeveryonesomebody
    anythingeverythingsomething
    anywhereeverywheresomewhere
    each + นามเอกพจน์either + นามเอกพจน์neither +นามเอกพจน์
    each of + นามพหูพจน์either of + นามพหูพจน์neither of +นามพหูพจน์
    nobodyevery + นามเอกพจน์nothing
เช่น
Is there anybody here who could speak Japanese? มีใครที่นี่พูดภาษาญี่ปุ่นได้บ้าง
Each of the lessons takes an hour. บทเรียนแต่ละบทใช้เวลา 1 ชั่วโมง
Somebody is in the room. มีใครบางคนในห้อง
Neither of my sisters is married. ไม่มีน้องสาวคนไหนของฉันแต่งงานเลย
Either of us is   to clean up the house after the party tonight.
เราคนใดคนหนึ่งต้องทำความสะอาดบ้านหลังงานเลี้ยงคืนนี้  
 8.ประธานซึ่งเชื่อมด้วยคำต่อไปนี้ กริยาถือตามประธานตัวหลัง
    orneither... nor
    either....ornot only......but also
เช่น 
Neither the Priminister nor his representatives are to attend the meeting. ทั้งนายกรัฐมนตรีและผู้แทน ( ของนายก ฯ )ไม่ต้องเข้าร่วมการประชุม
Either the teachers or the principal is to blame for the accident. ไม่พวกครูก็ครูใหญ่ต้องรับผิดชอบในอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น
Not only Jim but also  his friends are  coming to the party tonight.  ไม่เพียงแต่จิมเท่านั้นที่มาร่วมงานเลี้ยง  เพื่อนๆของเขาก็มาด้วย
       หมายเหตุ ในกรณีประธาน 2 ตัว  นิยมเอาประธานที่เป็นพหูพจน์ไว้ข้างหลังมากกว่า
 9,  คำ  Indefinite Pronouns ต่อไปนี้ถ้าใช้แทนคำนามนับได้ ถือเป็นพหูพจน์เสมอ
all, both,  (a) few, many, several, some
เช่น 
All were ready to leave the party by midnight.  ทั้งหมดพร้อมที่จะออกจากงานเลี้ยงตอนเที่ยงคืน
Few were in the audience to see the horrible play. มีคนดูละครห่วยๆนี้อยู่ไม่กี่คน
Many were invited to the lunch but only twelve showed up. มีคนไดัรับเชิญรับประทานอาหารกลางวันหลายคน แต่มีคนมาเพียง 12 คน
 10.การใช้วลีบอกปริมาณ
1. วลีบอกปริมาณต่อไปนี้ถ้าตามด้วยนามเอกพจน์ต้องใช้ กริยาต้องใช้เอกพจน์        ถ้าตามด้วยนามพหูพจน์กริยาต้องใช้พหูพจน์
    a lot ofplenty ofmost ofsome of
    lots ofall ofnone of...percent of
เช่น
I think a lot of English wine is too sweet.   ฉันคิดว่า ไวน์ของอังกฤษจำนวนมากที่หวานเกินไป
      ( wine เป็น นามนับไม่ได้มีความหมายเป็นเอกพจน์
A lot of people are in the room,  มีคนจำนวนมากในห้อง
      ( people มีรูปเอกพจน์คือไม่มี s แต่มีความหมายพหูพจน์จึงใช้ are   ดูในเรื่อง Nouns -singular/plural
 

Some of my jewelry is missing.    ของประดับมีค่าของฉันหายไปบางชิ้น
Some of my friends were at the airport to see me off    เพื่อนบางคนไปส่งฉันที่สนามบิน

Ten per cent of the men have lung problems.  สิบเปอเซนต์ของผู้ชายมีปัญหาเกี่ยวกับปอด
Ten per cent of the money is yours.   เงินสิบเปอเซนต์เป็นของคุณ
2. วลีบอกปริมาณต่อไปนี้ใช้กับนามนับได้ที่เป็นพหูพจน์ และกริยาก็ต้องเป็นพหูพจน์ตามด้วยคือ
a number ofmany
a large number ofa good many
a great number ofa great many
เช่น
A number of students are playing football.  นักเรียนจำนวนมากกำลังเล่นฟุตบอล
A large number of tourists get lost because of that sign.  นักท่องเทียวจำนวนมากหลงทางเพราะป้ายนั้น
There  are still a large number of problems to be solved.   ยังมีปัญหาต้องแก้ไขอีกมาก
 11.วลีบอกปริมาณต่อไปนี้ เมื่อใช้กับนามนับไม่ได้  กริยาต้องใช้รูปเอกพจน์ตลอดไป
mucha large number of
a great deal ofa large amount of
a good deal ofa large quantity of
เช่น
Although a great deal of progress has been made in the development of  spoken communication with computers, there  are still a large number of problems to be solved.
หมายเหตุ  แต่  the number  of  ตามด้วยนามพหูพจน์ และใช้กริยาเอกพจน์ เช่น
The number of students in the class is limited to twenty.   จำนวนของนักเรียนในห้องจำกัดที่ยี่สิบคน
 12.ประโยคที่มี who, which , that เป็น Relative Pronoun  กริยาของ Relative Pronoun จะใช้รูปของเอกพจน์หรือพหูพจน์ ให้ถือเอาตามคำที่มันแทนซึ่งอยู่ข้างหน้า who, which , that   เช่น
He is one of my friendwho are millionaires.  เขาเป็นเพื่อนคนหนึ่งของฉัน ( ในหลายๆคน ) ที่เป็นเศรษฐี
( ใช้ are เพราะ who ขยาย my friends )
 13.ประธานที่ขึ้นต้นด้วย Infinitive Phrase ( วลีที่นำหน้าด้วย to ) หรือ gerund ( ing ) ถือว่าเป็นเอกพจน์ กริยาต้องเป็นรูปเอกพจน์ตาม เช่น
To see is to believe. ต้องได้เห็นจึงจะเชื่อได้ ( สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น )
To distill a quart a moonshine takes two hours.    การกลั่นเหล้าเถื่อน1ควอตใช้เวลา 2 ชั่วโมง
Winning the national championship is her most important achievement. 
การชนะเลิศระดับชาติเป็นความสำเร็จที่สำคัญมากสำหรับเธอ
 14.จำนวนเงินหรือมาตราต่างๆ เช่น   ถือเป็นเอกพจน์ เช่น
Twenty thousand bahts is too high for this camera. ราคาสองหมื่นบาทสูงเกินไปสำหรับกล้องตัวนี้
Two hundred miles is a long way. สองร้อยไมล์เป็นระยะทางที่ไกลมาก
 15.เศษส่วนของคำนามพหูพจน์เป็นพหูพจน์  เศษส่วนของคำนามเอกพจน์เป็นเอกพจน์
Two-thirds of the boys are absent.   สองในสามของเด็กชายขาดเรียน
Two-thirds of the wall has been painted.  สองในสามของฝาผนังได้ทาสีไปแล้ว
 16.ชื่อหนังสือหรือบทความเป็นเอกพจน์ เช่น
Gulliver's travels was written by  Swift. หนังสือเรื่องการเดินทางของกัลลิเวอร์ เขียนโดยสวิฟต
 
Active and Passive Voice

Active/Passive Voices


 
Voice    หมายถึงวิธีพูด     
Active Voice  หมายถึงรูปกริยาซึ่งประธานเป็นผู้กระทำหรือแสดงกริยานั้นโดยตรง   เช่น
The dog bit the boy.  สุนัขกัดเด็กชาย  ( สุนัขเป็นประธานผู้กระทำโดยตรง และเด็กชายเป็นกรรม)
Dara will present her research at the conference.
Susan is cooking dinner.
They are going to build  a new house  soon.
Passive Voice  หมายถึงรูปกริยาซึ่งประธานเป็นผู้ถูกกระทำกริยานั้นโดยผู้อื่น  
หลักการใช้  Passive Voice มีดังนี้
  • ให้ความสำคัญกับกรรม  ( object ) ของประโยคหรือสิ่งที่ถูกกระทำมากกว่าประธาน   หรือไม่สนใจว่าใครทำแต่สนใจผลที่เกิดขึ้น เช่น
    Your bicycle has been damaged.  รถจักรยานของคุณถูกทำเสียหาย
    ( ประโยคนี้ไม่สนใจว่าใครเป็นคนทำ  สนใจแต่เพียงว่ามีการเสียหายเกิดขึ้น  เช่นเดียวกับประโยคต่อไป)
    Rules are made to be broken. ( by ? )

    Police are being notified ( by? ) that three prisoners have escaped.
    Everything will have been done by Tuesday.
  • ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงผู้กระทำ เนื่องจากรู้กันอยู่แล้ว
    The thieves were all arrested .  ( เป็นทั่รู้กันอยู่ว่าผู้จับน่าจะเป็นตำรวจ )
    English is spoken here.  ( ผู้ที่พูดคือคนโดยทั่วไป )
  • เมื่อไม่ทราบว่าใครเป็นผู้กระทำ
    Printing was invented in China. ( ผู้คิดค้นเป็นใครไม่ทราบ )
การทำ Active Voice  ให้เป็น Passive Voice
I ประโยคที่มีกรรมตัวเดียว ( Direct Object )
  • เอากรรมของประโยคขึ้นมาเป็นประธาน
  • ใช้ verb to be ให้ถูกต้องตามประธาน
  • กริยาแท้ในประโยคให้เปลี่ยนเป็นช่อง 3  ( past participle )
  • เอาประธานของประโยค Active  ไปเป็นกรรมหลัง by
เช่น
The boy was bitten by  the dog. ( เอากรรมคือเด็กชายขึ้นมาเป็นประธาน )
Research will be  presented by Dara at the conference.
Dinner is being cooked by Susan.
A new house is going to be  built . ( by them )
หมายเหตุ      ผู้กระทำในประโยค  Passive  ที่เป็น phrase  " by the......"  อาจจะละไว้ก็ได้
สรุปการใช้ประโยค Passive Voice ของ  Tenses ต่างๆ
Tensesประธาน
กริยาช่วย
Past
Participle
เอกพจน์พหูพจน์
PresentThe car/carsisaredesigned.
Present perfectThe car/carshas beenhave beendesigned.
PastThe car/carswasweredesigned.
Past perfectThe car/carshad beenhad beendesigned.
FutureThe car/carswill bewill bedesigned.
Future perfectThe car/carswill have beenwill have beendesigned.
Present progressiveThe car/carsis beingare beingdesigned.
Past progressiveThe car/carswas beingwere beingdesigned.
II. ประโยคที่มีกรรมตรง และกรรมรอง ( Direct  & indirect object)
มื่อประโยค Active มีกรรม 2 ตัวคืือ
กรรมตรง ( Direct Object )  =  สิ่งของ
กรรมรอง ( Indirect object )    =  บุคคล
เมื่อจะเปลี่ยนเป็น Passive  นิยมเอากรรมรอง คือบุคคลขึ้นเป็นประธาน  ถ้าจะเอากรรมตรงเป็นประธานก็ได้ แต่ต้องใส่บุพบท to ข้างหน้ากรรมรองที่เหลืออยู่ด้วย เช่น

Active:The teacher gave me a book.
Passive: I was given a book by the teacher. ( กรรมรองเป็นประธาน )
Passive : A book was given to me by the teacher.  ( กรรมตรงเป็นประธาน )

Active: My father gave ten dollars to my sister.
Passive : My sister was given ten dollars by my father. ( กรรมรองเป็นประธาน )
Passive : Ten dollars were given to my sister by my father. ( กรรมตรงเป็นประธาน )

Active: The guide will show you the museum.
Passive: You will be shown the museum by the guide. ( กรรมรองเป็นประธาน )
Passive: The museum will be shown to you by the guide. ( กรรมตรงเป็นประธาน )

ตัวอย่างกริยาที่มีกรรมได้ 2 ตัวได้แก่
giveanswershowtell
sendbuycallteach
asksellwritelend
III  คำกริยาที่ไม่สามารถทำให้เป็นประโยค Passive ได้คือ
กริยาที่ไม่สมบูรณ์ด้วยตัวเองซึ่งเราเรียกว่า Linking verbs ( Copular Verbs)  เป็นคำกริยาที่ ต้องมีส่วนสมบูรณ์ ( complement ) เข้ามาช่วยจึงจะได้ความหมายสมบูรณ์โดยไม่ต้องมีกรรม   คำเหล่านี้ได้แก่
bekeepsoundgetprove
seemstaysmellgoturn
appearlooktastecometurn out
remainfeelbecomegrowend up, wind up
เช่น
Active voice : He became a successful business man.
จะเปลี่ียนเป็น  A  successful business man was become by  him. ไม่ได้
ตัวอย่างของประโยคที่คำกริยาเป็น linking verb  เช่น
You look lovely.
My hand feel cold.
That sounds good to me.
It smells funny in this room.
IV   ใช้ get แทน  be ในประโยค Passive  ( ในการใช้อย่างไม่เป็นทางการ )
คำกริยาต่อไปนี้ อาจใช้กับ get แทน verb to be
tiredressupsetinvitepaydomarry,divorce
hurtaccustomconfuseborehiredisguststuck
loseworrydrinkpackfireengagehit

He was lost  = He got  lost.
She wasn't invited  = She didn't get invited.
They were married last year. = They got married last year.
I didn't stay for the end of the movie because I got bored.
There was an accident, but luckily nobody got hurt.
การใช้ประโยคโดยทั่วไปจะใช้เป็น   Active  Voice   และหลีกเลี่ยงการใช้  Passive เท่าที่จะทำได้    แต่หากจะมีการใช้ Passive Voice ก็มักจะใช้ในการเขียนเอกสารที่เป็นทางการ ข่าว และรายงาน ทางวิทยาศาสตร์.
ช่น ในข่าวในหนังสือพิมพ์
The woman was killed at. . . .
The boy was struck by. . . ."
President Kennedy was killed.   (  ไม่ใช้ Oswald killed President Kennedy.)
It was reported that. . . .
It was recommended that. . . ..
It is reported that......
This letter will confirm. . . .     ( ไมใช่ I write this letter to confirm. . . . )
He was jailed for three months.
ในรายงานการศึกษาวิจัย ซึ่งผู้อ่านจะสนใจผลมากกว่าสนใจผู้กระทำ
It can be seen that.......
Heart disease is considered the leading cause of death in the United States
The interviews were conducted in groups.
The sample was weighed to find its dry weight .



Verb

1. แบ่งตามหน้าที่โดยยึดเป็นกรรม  ( Object ) เป็นเกณฑ์มี 2 ชนิด
  • Transitive Verbs  ( สกรรมกริยา )  คำกริยาที่ต้องมีกรรมมารับ  เช่น
    He bought a book. ( a book เป็นกรรม )
  • Intransitive Verbs ( อกรรมกริยา ) คำกริยาที่ไม่ต้องมีกรรม    เช่น  
    He arrived late.
2. แบ่งตามหน้าที่ เป็นคำกริยาหลัก (Main Verbs) และคำกริยาช่วย ( Auxiliary Verbs )
  • Main Verbs  ( คำกริยาหลัก) เป็นคำกริยาที่ทำหน้าที่ได้อย่างอิสระในประโยค  เช่น
    He went to Australia last year.
  • Auxiliary Verbs ( คำกริยาช่วย ) ทำหน้าที่ช่วยคำกริยาหลัก  เช่น
    He has gone to Australia.

3. แบ่งตามหน้าที่เป็นคำกริยาแท้ ( Finite Verbs) และกริยาไม่แท้ ( Non-finite Verbs)
  • Finite Verbs  ( คำกริยาแท้ ) ทำหน้าที่แสดงกริยาอาการที่แท้จริงของประธานในประโยคมีการเปลี่ยนรูปไปตามSubject , Tense, Voice และ Mood เช่น 
Subject
go to school every day He goes to school every day They go to school every day
Tense 
He goes to school every day He went to school  yesterday He's going to school tomorrow
   
 Voice
Someone killed the snake. ( Active ) The snake was killed . ( Passive )
Mood
I recommend that he see a doctor.
    (ไม่ใช่่he sees ) If I were you ,I would not do it.
    ( ไม่ใช่ I was )
  • Non-finite Verbs  ( คำกริยาไม่แท้ )หรือ Verbal  เป็นคำที่มีรูปจากคำกริยาแต่ไม่ได้ทำหน้าที่คำกริยาแท้ มี 3  รูปคือ
a. Infinitives  เป็นคำกริยาที่อยู่ในรูปกริยาช่องที่ 1 นำหน้าด้วย to ทำหน้าที่ noun , adjective  และ adverb
 He lacked the strength to resist.
     ( to resist ทำหน้าที่ adjective)
  We must study to learn.
     ( to learn ทำหน้าที่ adverb)

b. Gerunds    เป็นคำกริยาเติม ing  ทำหน้าที่เป็นคำนาม ( noun ) เช่น
They do not appreciate my singing.
   พวกเขาไม่ชอบการร้องเพลงของฉัน  ( singing  เป็นคำนามที่ทำหน้าที่เป็นกรรม )
I like swimming.
  ฉันชอบว่ายน้ำ.  ( swimming  เป็นกรรมของ like )
c. Participles  คำกริยาที่เติม ing  หรือ กริยาช่องที่ 3   ที่ทำหน้าที่เป็นคำคุณศัพท์ ( Adjective )  มี 2 รูปแบบคือ
Present Participles   เป็นคำกริยาที่เติม ing  เช่น
  The crying baby had a wet diaper.
     เด็กที่ร้องอยู่นั้นผ้าอ้อมเปียก  ( crying เป็นคำคุณศัพท์ขยาย baby )

Past Participles  เป็นคำกริยาช่องที่3  เช่น
  The broken bottle is on the floor.
4. แบ่งตามโครงสร้างโดยยึดการเปลี่ยนรูปของคำ  ( conjugation ) ได้แก่
  • Regular Verbs ( คำกริยาปกติ )  เป็นคำกริยาที่เติม ed เมื่อเป็น past และ past participle เช่น
 
walkwalkedwalked
stopstoppedstopped
workworkedworked
  • Irregular Verbs ( คำกริยาอปกติ ) เป็นคำกริยาที่มีรูป past และ past participle ต่างไปจากรูปเดิมหรือคงรูปเดิม เช่น
 
sendsentsent
gowentgone
seesawseen



วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Exercise

http://www.myenglishpages.com/site_php_files/grammar-exercise-countable-uncountable-nouns.php
http://www.tolearnenglish.com/english_lessons/nouns-exercises

Nouns ( คำนาม )
Types ( ชนิดของคำนาม )

คำนาม ( Nouns ) หมายถึงคำที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งต่างๆ สถานที่ คุณสมบัติ สภาพ อาการ การกระทำ ความคิด ความรู้สึก ทั้งที่มีรูปร่างให้มองเห็น และไม่มีรูปร่าง  การแบ่งคำนามสามารถจำแนกได้หลายแบบแล้วแต่ตำรา  เท่าที่รวบรวมนำเสนอในที่นี้มี  4 แบบ คือ
แบบที่  1     แบ่งคำนามเป็น 2 ประเภท
แบบที่  2     แบ่งคำนามเป็น 3 ประเภท
แบบที่  3     แบ่งคำนามเป็น  4 ประเภท
แบบที่  4     แบ่งคำนามเป็น  7 ประเภท
ซึ่ง ใน  7  ประเภทนี้  3 ประเภทสุดท้ายได้แก่ material nouns, concrete nouns  และ mass  nouns อาจจัดอยู่ในกลุ่ม  common nouns  ได้ดังนี้
2 ประเภท
3 ประเภท
4 ประเภท
7 ประเภท
Common Nouns
Proper Nouns
Common Nouns
Proper Nouns
Abstract Nouns
Common Nouns
Proper Nouns
Abstract Nouns
Collective Nouns
1. Common Nouns
2. Proper Nouns
3. Abstract Nouns
4. Collective Nouns
5. Material Nouns
6. Concrete Nouns
7. Mass Nouns
1.Common Noun (นามทั่วไป)
เป็นคำนามที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ทั่วๆไป ความคิด ( person, animal, place, thing, idea ) โดยไม่เฉพาะเจาะจง กล่าวโดยสรุปคือ คำนามทั้งหลายที่ไม่ใช่ proper nouns คือ common nouns เช่น
    สิ่งของ          boy, sign, table, hill, water, sugar, atom, elephant
    สถานที่         city, hill, road, stadium, school,company
    เหตุการณ์      revolution, journey, meeting
    ความรู้สึก      fear, hate, love
    เวลา            year, minute, millennium
  • Common Nouns เป็นได้ทั้ง นามนับได้ (Countable) และนามนับไม่ได้ ( Uncountable )
    Countable Nouns ( นามนับได้ ) สามารถอยู่ทั้งในรูปเอกพจน์หรือพหูพจน์
            มีตัวตน      เช่น dog, man, coin , note, dollar, table, suitcase
            ไม่มีตัวตน   เช่น day, month, year, action, feeling
    Uncountable Nouns (นามนับไม่ได้ ) หรือ Mass Nouns อยู่ในรูปเอกพจน์ เท่านั้น
            มีตัวตน   เช่น   furniture, luggage, rice, sugar , water ,gold
           ไม่มีตัวตน  เช่น  music, love, happiness, knowledge, advice , information
 
Common countable
Common uncountable
indefinite(ไม่เจาะจง)
definite(เจาะจง)
indefinite(ไม่เจาะจง)
definite(เจาะจง)
Singular 
a cow
the cow
milk
the milk
plural
cows
the cows
-
-
  • Common Nouns จะไม่ขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่ ( Capital letter ) ยกเว้นเป็นคำขึ้นต้นของประโยค  ตัวอย่างTher are many children on the beach. Children love to swim.
2.Proper Nouns ( นามเฉพาะ )  จะต้องขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่เสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ใดของประโยค
  • เป็นคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะของ Common Noun เช่น
    ชื่อคน (Person Name) เช่น   Somsak , Tom, Daeng
    ชื่อสถานที่ ( Place Name) เช่น   Australia,Bangkok,Sukhumvit Road, Toyota
    ชื่อบอกระยะเวลา (Time name ) เช่น Saturday, January, Christmas
  • Proper Nouns จะต้องเขียนขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่ ( Capital letter )
  • Proper Nouns ปกติจะไม่มี determiner นำหน้า นอกจากอยู่ในรูปของพหูจน์ เช่น the Jones ( ครอบครัวโจนส์ )
    the United States, the Himalayas
    แต่อย่างไรก็ดีมีข้อยกเว้นของคำนามที่ไม่ได้อยู่ในรูปพหูพจน์ เช่น The White House, the Sahara ( ทะเลทราย ),
    the Pacific ( Ocean ), the Vatican, the Kremlin ( ดูรายละเอียดจากเรื่องการใช้ articles – the )
  • เปรียบเทียบระหว่าง common nouns และ proper nouns
Common NounsProper Nouns
dogLassie ( ชื่อของสุนัข )
boyJack ( ชื่อของเด็กชาย)
carToyota ( ชื่อยี่ห้อรถ )
monthJanuary ( ชื่อของเดือน)
roadSukhumvit ( ชื่อถนน )
universityChulalongkorn ( ชื่อมหาวิทยาลัย)
shipU.S.S. Enterprise ( ชื่อเรือ )
countryThailand (ชื่อประเทศ )
  คำนามประเภทอื่นมีคำอธิบายดังนี้
3.Abstract Nouns   
เป็นคำนามของสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 ( touch- สัมผัสได้, sight-มองเห็นได้, taste-ชิมได้ , hearing- ได้ยิน, smell- ได้กลิ่น ) เป็นนามที่บอกลักษณะ สภาวะ อาการ เมื่อแปลเป็นภาษาไทยมักจะมีคำว่า ความ การนำหน้าอยู่ด้วยรวมทั้งชื่อศิลปวิทยาการต่างๆ
Abstract Nouns จะมีที่มาจากคำกริยา ( verb) ,คำคุณศัพท์ ( adjective) และ คำนาม ( noun) ด้วยกันเองบ้าง เช่น
Abstract Nouns
ที่มาจากคำกริยา 
Abstract  Nouns
ที่มาจากคำคุณศัพท์
Abstract Nouns
ที่มาจากคำนาม
decision - to decidebeauty - beautifulinfancy - infant
thought  - to thinkpoverty - poorchildhood - child
Imagination - to imaginevacancy - vacantfriendship - friend
speech - to speakhappiness - happy 
growth - to growwisdom - wise 
4.Collective Nouns
เป็นคำนามของสิ่งที่เป็นหมวดหมู่ กลุ่มของคน สัตว์ สิ่งของ เช่น family , class, company, committee, cabinet, audience, board, group, jury, public, society, team, majority orchestra, party เป็นต้นรวมทั้ง a flock of birds, a herd of cattle ,a fleet of ships เป็นต้น อาจจะใช้คำกริยารูปของเอกพจน์หรือพหูพจน์ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้   ว่าต้องการให้เป็นหนึ่งเดียวหรือเป็นแต่ละส่วน แต่คำนามยังเป็นรูปเดิม เปลี่ยนแต่รูปกริยา เช่น
เอกพจน์ : The average British family has 3.6 members.
            ครอบครัวชาวอังกฤษ (ครอบครัวหนึ่ง ) มีสมาชิกโดยเฉลี่ย 3.6 คน
พหูพจน์: The family are always fighting among themselves. ครอบครัวนี้มักจะทะเลาะกันเอง
          ( ประโยคนี้มีความหมายว่าสมาชิกในครอบครัวต่างทะเลาะกันเองทั้งครอบครัว   จึงใช้กริยาเป็นพหูพจน์ )

เอกพจน์: The committee has reached its decision. คณะกรรมการได้ผลการตัดสินใจ
          ( ของคณะกรรมการรวมกันทั้งคณะ)
พหูพจน์: The committee have been arguing all morning over what they should do.
         คณะกรรมการเถียงกันตลอดทั้งเช้าว่าควรจะทำ อะไร
        ( กรรมการแต่ละคนนับเป็น 1 หน่วย ทั้งคณะจึงเป็นพหูพจน์ )

Collective noun  บางคำมีความหมายเป็นพหูพจน์เท่านั้น เช่น   people, police, cattle
นอกจากนี้ยังมีรูปแบบ คำวลีผสมด้วย of เพื่อเน้นให้ความเป็นหมู่หรือคณะให้ชัดเจนขึ้น รูปแบบคือ Collective noun + of + commonnoun ตัวอย่างเช่น
a flock of birdsa group of students
a flock of sheepa pack of cards
a herd of cattlea bunch of flowers
a fleet of shipsa kilo of pork
5.Concrete Nouns
เป็นคำนามของสิ่งที่มีรูปร่างสามารถสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 ( touch- สัมผัสได้, sight-มองเห็นได้, taste-ชิมได้ , hearing- ได้ยิน, smell- ได้กลิ่น ) เช่น book , chair, water, oil , ice cream เป็นทั้งนามนับได้ และนับไม่ได้ มีลักษณะตรงกันข้ามกับ abstract nouns.
6.Material Nouns
  • เป็น common nouns ชนิดหนึ่งซึ่งมีรูปร่าง อยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน แต่นับไม่ได้ เช่น

    ธาตุ: iron, gold, air, copper
    สารธรรมชาติ, สังเคราะห์: stone, cotton, brick, paper, cloth
    ของเหลวต่างๆ: water, coffee, wine, tea, milk  
    อาหาร: rice, bread, sugar, pork, fish, butter, fruit, salad 
  • แสดงความมากน้อยด้วยปริมาณ (quantity)  เช่น
a bowl of rice
two boxes of cereal
five bottles of beer
a cup of tea
three bars of soap
two glasses of water
a loaf of bread
a slice of pizza
a piece of paper
a quart of milk
แต่ในการใช้ material nouns ส่วนมากจะพูดสั้นๆ เช่น ในประโยคเกี่ยวกับ tea ( ชา )

พูดในร้านอาหาร : I want some tea. ฉันขอชาหน่อยใ( ในที่นี้หมายถึง I want a cup of tea. )
พูดในซูเปอร์มาร์เก็ต: I want some tea. ในที่นี้ผู้พูดหมายถึง I want a packet of tea.
พูดในร้านอาหารซึ่งมีชาหลายชนิด หลายยี่ห้อให้เลือก    เช่น ชาจีน ชาเขียว ชาญี่ปุ่น ชาอู่หลง เป็นต้น :
I like their teas. หมายถึง I like their selection of teas. ( ฉันชอบชาหลากหลายชนิดที่มีให้เลือกของร้าน )
7,Mass nouns
เป็นคำนามสิ่งของที่นับไม่ได้ ทั้งมี และไม่มีตัวตน ( uncountable nouns และ abstract nouns ) เช่น sugar, iron , butter, beer, money, blood, furniture, vehicle, courage,gratitude, mercy , accuracy มีลักษณะดังนี้ คือ
  • จะไม่อยู่ในรูปพหูพจน์ 
  • ไม่ใช้ a , an , the นำหน้า ถ้าใช้เป็นการทั่วไป determiners ที่ใช้นำหน้าคือ some และ any เช่น
    Blood is thicker than water.  เลือดข้นกว่าน้ำ ( uncountable )
    Depression often affects women immediately following the birth of their babies
          ผู้หญิงมักมีอาการซึมเศร้าตามมาหลังคลอดบุตรทันที ( abstract nouns )
    He dropped some money on the floor. เขาทำเงินหล่นลงบนพื้น
  • หมายเหตุ
    * บางตำรา mass nouns คือmaterial nouns + concrete nouns และแยก abstract nouns ออกเป็น nouns อีกประเภทหนึ่ง *คำนามบางคำตามความคิดของคนไทยน่าจะเป็นสิ่งของที่นับได้เช่น furniture, luggage ,equipment, money  แต่ในภาษาอังกฤษ จะมองเป็นของที่นับไม่ได้ จะนับได้ต่อเมื่อแยกเป็นส่วนย่อย เช่น furniture แยกเป็น table, chair เป็นต้น
หากสรุปโดยคิดว่าคำนามมี 7  ประเภท การแยกกลุ่มจะเป็นไปตามตารางข้างล่างนี้    โดยตัวอย่างในบางคำนามจะซ้ำกับในคำนามอื่น เช่น water จะเป็นทั้ง concrete nouns และ material nouns  และ honesty เป็นทั้ง mass nouns และ abstract nouns
Nouns
ประเภทคำนาม
ประเภทย่อย
ประเภทย่อย
ตัวอย่าง
Proper nouns
   John, London
Common nouns
Countable nouns
Concrete
 chair,book,student
Collective nouns
 two flocks of birds ,people
Uncountable Nouns
Concrete nouns
 ice cream,oil,water
Mass Nouns
 furniture,money,honesty
Material nouns
 water,bread,oxygen,gold
Abstract nouns
 honesty, friendship,honesty

ตาราง การใช้ articles นำหน้าคำนาม ซึ่งในที่นี้เป็นหลักทั่วไปไม่รวมข้อยกเว้นต่างๆ   (ดูรายละเอียดข้อยกเว้นได้ในเรื่อง Articles )
 
Common Nouns
Proper Nouns
Countable Nouns
Uncountable Nouns
Singular
Plural
Singular
Plural
Singular
Plural
ไม่มี article
(John)
the
(the Jones)
ชี้เฉพาะ
(definite )
the
(the boy )
the
(the boys)
the
(the water )
-
ไม่เฉพาะ
(indefinite )
a/an
(a tiger)
ไม่มี article
( tiger)
ไม่มี article
(water)
-
-
Exercise

http://www.learnamericanenglishonline.com/Orange%20Level/Exercises_for_the_Orange_Level/Exercise_4_subjects_direct_objects_indirect_objects.html
http://www.e-grammar.org/direct-indirect-object/

Exercise

http://site.iugaza.edu.ps/rareer/english-resources/sentence-type-exercises-and-quizzes
http://www.englishexercises.org/makeagame/viewgame.asp?id=4070


Direct and Indirect Object

กริยาบางตัวมีกรรม ได้ 2 ตัว คือ กรรมตรง (Direct object)  และกรรมรอง (Indirect object)
        กรรมตรง (direct object) จะตอบคำถาม WHAT ? กรรมตรงมักจะเป็นสิ่งของซึ่งจะเป็นคำนามคำเดียว หรือกลุ่มคำ (phrase or clause) ก็ได้
 She often causes is trouble. (a word)
        กรรมรอง (Indirect object) จะตอบคำถาม TO WHOM ? หรือ FOR WHOM ? โดยทั่วไปกรรมรองมักจะเป็นคน

  รูปแบบ ( Pattern ) ของประโยคที่มี กรรม 2ตัว

 Pattern 1
S
Verb
Person
(Indirect object)
Thing
(direct object)
I
gave
my friend
him
a car.
 Pattern 2 (จะต้องมี preposition “to” หรือ “for” หน้า Indirect object เสมอ)
S
Verb
Thing
(direct object)
Person
(to indirect object)
I
gave
a car
it
to my friend.
to him.

1. ห้ามใช้ Pattern 1 ถ้ากรรมตรงเป็น pronoun เช่น
จะไม่พูดว่า :
 -I gave my friend it       (X)
 -I gave him it                (X)

ในกรณีที่กรรมตรง (Thing) เป็น pronoun ให้ใช้ Pattern 2 แทน
 -I gave it to him.
 -I gave it to my friend.
2. โดยทั่วไปนิยมใช้ Pattern 1 คือนำกรรมรองไว้หลังกริยา คือ ไว้หน้ากรรมตรง
 -She is teaching him English.

วางกรรมรองไว้หลังกรรมตรง (ตาม Pattern 2 ) ในกรณีต่อไปนี้
1. กรรมรองมีข้อความขยายยาวมาก
 -The host offered drinks to all the guests in the room.
2. เพื่อต้องการเน้น (Emphatic)
- Send the book to Andy, or anyone else you like.



วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556

Exercise Subject and Predicate

http://www.towson.edu/ows/exercisesubjpred.htm
http://www.education.com/study-help/article/subjects-predicates_answer/
http://www.englishexercises.org/makeagame/viewgame.asp?id=7224



Subject and Predicate

Every complete sentence contains two parts: a subject and apredicate. The subject is what (or whom) the sentence is about, while the predicate tells something about the subject. In the following sentences, the predicate is enclosed in braces ({}), while the subject is highlighted.
Judy {runs}.
Judy and her dog {run on the beach every morning}.
To determine the subject of a sentence, first isolate the verb and then make a question by placing "who?" or "what?" before it -- the answer is the subject.
The audience littered the theatre floor with torn wrappings and spilled popcorn.
The verb in the above sentence is "littered." Who or what littered? The audience did. "The audience" is the subject of the sentence. The predicate (which always includes the verb) goes on to relate something about the subject: what about the audience? It "littered the theatre floor with torn wrappings and spilled popcorn."

Unusual Sentences

Imperative sentences (sentences that give a command or an order) differ from conventional sentences in that their subject, which is always "you," is understood rather than expressed.
Stand on your head. ("You" is understood before "stand.")
Be careful with sentences that begin with "there" plus a form of the verb "to be." In such sentences, "there" is not the subject; it merely signals that the true subject will soon follow.
There were three stray kittens cowering under our porch steps this morning.
If you ask who? or what? before the verb ("were cowering"), the answer is "three stray kittens," the correct subject.

Simple Subject and Simple Predicate

Every subject is built around one noun or pronoun (or more) that, when stripped of all the words that modify it, is known as the simple subject. Consider the following example:
piece of pepperoni pizza would satisfy his hunger.
The subject is built around the noun "piece," with the other words of the subject -- "a" and "of pepperoni pizza" -- modifying the noun. "Piece" is the simple subject.
Likewise, a predicate has at its centre a simple predicate, which is always the verb or verbs that link up with the subject. In the example we just considered, the simple predicate is "would satisfy" -- in other words, the verb of the sentence.
A sentence may have a compound subject -- a simple subject consisting of more than one noun or pronoun -- as in these examples:
Team pennants, rock posters and family photographs covered the boy's bedroom walls.
Her uncle and she walked slowly through the Inuit art gallery and admired the powerful sculptures exhibited there.
The second sentence above features a compound predicate, a predicate that includes more than one verb pertaining to the same subject (in this case, "walked" and "admired").